ในปัจจุบันนี้เราอาจจะได้ยินถึงคำว่า “ติดเชื้อในกระแสเลือด” อยู่บ่อย หลายคนอาจจะสงสัยว่า โรคนี้เกิดจากสาเหตุอะไร? วันนี้ Zcooby หาข้อมูลแบบเข้าใจง่ายๆ มาฝากครับ
ติดเชื้อในกระแสเลือด คืออะไร?
ติดเชื้อในกระแสเลือด (Septicemia) = ภาวะการติดเชื้อในกระแสโลหิตซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
สาเหตุการติดเชื้อในกระแสเลือด
เนื่องจากการติดเชื้อในกระแสเลือด คือภาวะการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อแบคทีเรียที่พบจากโรคนี้จะมี เชื้อแบคทีเรียแกรมลบ,เชื้อแบคทีเรียแกรมบวก,เชื้อแบคทีเรียชนิด Classic pathogens เช่น H.influenzae, Neisseria, meningitidis, Streptococcus pyogenes และ S.pneumoniae และ เชื้อรา
ใครบ้างมีโอกาสเสี่ยงภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด?
- ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางประเภท เช่น โรคเบาหวาน โรคของเม็ดเลือดขาวบางชนิด โรคตับแข็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การติดเชื้อ HIV
- ผู้รับยากดระบบภูมิคุ้มกันประเภทยาในกลุ่มสเตียรอยด์ หรือเคมีบำบัดสำหรับรักษาโรคมะเร็ง
- เด็กเล็ก,ผู้สูงวัย หรือผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่แข็งแรง
- ผู้ป่วยที่ต้องใส่เครื่องมือแพทย์เข้าไปในร่างกาย เช่น การใส่ท่อช่วยหายใจ สายปัสสาวะ การใส่ท่อเข้าหลอดเลือดเพื่อให้สารน้ำต่าง ๆ
- ผู้ป่วยที่ต้องมีการใส่สิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย เช่น ลิ้นหัวใจเทียม
- ผู้ที่รับยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานานานเกินไป
- ผู้ได้รับอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดโอกาสติดเชื้อผ่านทางผิวหนัง เช่น ถูกไฟไหม้ เกิดแผลถลอกขนาดใหญ่
ผลของการติดเชื้อในกระแสเลือด
โดยลำดับการเกิดโรคนี้ เริ่มต้นจากผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียเข้าไปในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
- เมื่อแบคทีเรียซึมเข้าสู่กระแสเลือด หากไม่ได้รับการรักษาทันที
- เชื้อแบคทีเรียจะกระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้ลิ่มเลือดอุดตัน
- การลำเลียงออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงแต่ละส่วนเกิดปัญหา
- เมื่อไม่ได้รับออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ การทำงานของอวัยวะส่วนนั้นจึงล้มเหลว
- และเสียชีวิตในที่สุด
อาการของผู้ป่วยจากติดเชื้อในกระแสเลือด
ในอาการเบื้องต้น จะเป็นดังนี้
- มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส หรือมีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า 36 องศาเซลเซียส หรือไม่มีไข้แต่ติดเชื้อรุนแรง
- หัวใจเต้นเร็วกว่า 90 ครั้งต่อนาที
- หายใจเร็วมากกว่า 20 ครั้งต่อนาที หรือวัดค่าความดันคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดได้มากกว่า 32 มิลลิเมตรปรอท
- ตรวจพบเม็ดเลือดขาวมากกว่า 12,000 ตัวต่อมิลลิลิตร หรือน้อยกว่า 4,000 ตัวต่อมิลลิลิตร ทว่าอาการนี้อาจพบในผู้ป่วยโรคตับอ่อนอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดก็ได้
อาการเฉพาะที่
- มีอาการติดเชื้อที่ปอด
- มีไข้สูง
- ไอมีเสมหะเล็กน้อย หรือหนักหน่อยอาจไอมีเสมหะปนเลือด
- น้ำหนักลด
- บางรายมีอาการปวดท้อง
- บางรายอาจมีอาการปวดหลังรุนแรง
- บางรายอาจไม่มีอาการแสดงชัดเจน เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน อาจมีฝีในตับจากการติดเชื้อโดยไม่มีอาการปวดท้องเลยก็ได้
- บางรายอาจพบ รอยโรคที่ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะพบเป็นตุ่มหนอง เป็นผื่นแดง เป็นตุ่มตามผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการกระจายเชื้อมาที่ผิวหนังโดยตรง
- บางรายอาจมีอาการที่เกิดจากความล้มเหลวของระบบอวัยวะต่าง ๆ
- ในรายที่เกิดอาการความดันโลหิตตก ผู้ป่วยอาจมีอาการสับสน กระวนกระวาย หมดสติ มีปัสสาวะน้อยลงหรือไม่ปัสสาวะเลย เลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ มีกรดแลคติกคั่ง
- บางรายอาจหายใจหอบจากภาวะมีสารน้ำรั่วซึมในปอด หรือภาวะ DIC ที่ทำให้มีเลือดออกง่าย
การรักษาอาการติดเชื้อในกระแสเลือด
การรักษามีแนวทางดังนี้
- รักษาด้วยการควบคุมหรือกำจัดเชื้อออกจากตำแหน่งที่มีการติดเชื้อด้วยการระบายหนองหรือผ่าตัด เป็นการกำจัดเชื้อออกไปเป็นจำนวนมาก และยังเป็นการกำจัดแหล่งของเชื้อโรค หรือการอุดตันของเชื้อที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ
หากเกิดติดเชื้อจากอวัยวะเทียมหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อยู่ในร่างกาย ควรถอดอุปกรณ์เหล่านั้นออกจากตัวผู้ป่วยโดยด่วน
- การให้ยาปฏิชีวนะ ที่ครอบคลุมเชื้อที่เป็นสาเหตุ รวมทั้งคำนึงถึงโอกาสดื้อยาระหว่างการรักษา หากผู้ป่วยที่ต้องได้รับยาในกลุ่ม aminoglycosides ควรให้วันละครั้ง
- ประคับประคองอาการอาการไตวายด้วยการทำ dialysis การดูแลรักษาภาวะเลือดออกผิดปกติ การป้องกันเลือดออกจากทางเดินอาหาร
- การดูแลภาวะโภชนาการ รวมทั้งควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ไม่สูงเกิน 110 มก./ดล. และควรตรวจหาคอร์ติซอลในเลือดด้วย
Be the first to comment