หลังจากที่มีข่าวนักแสดงสาวอย่าง พิม-พิมพ์มาดา’ พบก้อนเนื้อในรังไข่ มีภาวะเสี่ยงเป็นมะเร็ง ชื่อโรคมะเร็งรังไข่ ก็ได้รับความสนใจขึ้นมาจากคนในสังคมกันไม่น้อยเลยทีเดียว วันนี้ Zcooby จะขอแนะนำข้อมูลต่างๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรคนี้ครับ
ความน่ากลัวของมะเร็งรังไข่ก็คือ เรามักจะเจอมะเร็งรังไข่ในระยะท้าย ๆ ระยะต้น ๆ เรามักจะไม่ค่อยเจอ เพราะว่า มะเร็งรังไข่ส่วนใหญ่ เมื่อเริ่มเป็น มักจะไม่ค่อยมีอาการ และมะเร็งรังไข่ ถือว่าเป็นอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดของมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ผู้หญิง
สำหรับมะเร็งรังไข่ ถือว่าเป็นอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดของมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ผู้หญิง สาเหตุเนื่องมากจากเรามักจะเจอมะเร็งรังไข่ในระยะท้าย ๆ ระยะต้น ๆ เรามักจะไม่ค่อยเจอ เพราะว่า มะเร็งรังไข่ส่วนใหญ่ เมื่อเริ่มเป็น มักจะไม่ค่อยมีอาการ หรืออาการที่เป็นก็ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นมะเร็งรังไข่ ไม่เหมือนกัน มะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ชนิดอื่น เช่น มะเร็งปากมดลูก ในคนไข้กลุ่มนี้มักจะมีประวัติตกขาว มีเพศสัมพันธ์จะมีเลือดออกในช่วงต้น ๆ หรือระยะท้าย สำหรับมะเร็งรังไข่แล้ว เป็นการยากที่จะบอกจากอาการ เพราะอาการของคนไข้เหล่านี้ ถ้าเน้นในช่วงต้น ๆ ก็มักจะไม่แน่นอน อาจจะมีอาการปวด จุด เสียด ในช่องท้องที่อาจจะเป็นอาการของโรคทางลำไส้ ซึ่งไม่มีอาการเฉพาะเจาะจง กว่าจะเริ่มมีอาการก้อนก็มักจะมีขนาดโต และจะไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อยท้องผูก หรือบางรายในระยะท้ายก็จะมีสุขภาพทรุดโทรมลง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้องโตเร็ว หายใจลำบาก เนื่องจากมีการแพร่กระจายของมะเร็งไปแล้ว หรือในบางรายมะเร็งรังไข่โตเร็ว อาจจะทำให้รังไข่แตกก็จะมาด้วยเรื่องปวดท้องอย่างฉับพลันได้
หน้าที่ของรังไข่
รังไข่ ถือว่าเป็น อวัยวะเพศอย่างหนึ่งของผู้หญิง ซึ่งมีขนาดโดยทั่วไปประมาณ 2-3 ซ.ม. ตำแหน่งของรังไข่จะอยู่ข้างปีกมดลูกทั้งสองข้าง
รังไข่จะมีหน้าที่หลัก 2 อย่าง คือ
- การผลิตไข่ ซึ่งจะมีมาผสมกับเชื้อของเพศชาย กลายเป็นตัวอ่อน ไข่ฝังตัวอยู่ในโพรงมดลูก
- การผลิตฮอร์โมนเพศหญิง ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของผู้หญิง
มะเร็งรังไข่ คืออะไร?
ความน่ากลัวของมะเร็งรังไข่ก็คือ เรามักจะเจอมะเร็งรังไข่ในระยะท้าย ๆ ระยะต้น ๆ เรามักจะไม่ค่อยเจอ เพราะว่า มะเร็งรังไข่ส่วนใหญ่ เมื่อเริ่มเป็น มักจะไม่ค่อยมีอาการ และมะเร็งรังไข่ ถือว่าเป็นอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดของมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ผู้หญิง
จุดหรือบริเวณที่เกิดมะเร็งรังไข่ มักจะพบ 3 จุดด้วยกันคือ
- มะเร็งเยื่อบุผิวรังไข่ (Epithelial Tumors) จุดเริ่มต้นที่เซลล์เยื่อบุผิวรังไข่และช่องท้อง เป็นกลุ่มที่พบได้บ่อยที่สุดประมาณ 90% ของมะเร็งรังไข่
- มะเร็งฟองไข่ (Germ Cell Tumors) จุดเริ่มต้นของก้อนเนื้องอกที่เกิดจากเซลล์สืบพันธุ์ต้นกำเนิด พบได้ร้อยละ 5-10 ของมะเร็งรังไข่ มักพบในผู้หญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี
- มะเร็งเนื้อรังไข่ (Sex Cord-Stromal Tumors) จุดเริ่มต้นที่เนื้อเยื่อเกี่ยวกันของรังไข่ ซึ่งผลิตฮอร์โมนเพศหญิง โอกาสพบน้อยมาก
อาการของมะเร็งรังไข่
- ท้องอืดเป็นประจำ
- เบื่ออาหาร ผอมแห้ง น้ำหนักลด
- เกิดอาการแน่นหรือปวดท้อง เนื่องจากมีก้อนในช่องท้องหรือช่องเชิงกราน
- ในบางรายอาจไม่มีการแสดงอาการเลย แพทย์อาจตรวจพบโดยบังเอิญว่ามีก้อนในท้องน้อย
- ปวดถ่วง ถ่ายอุจจาระไม่สะดวกหรือลำบาก เนื่องจากอาจมีก้อนเนื้ออาจกดเบียดลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
- ถ่ายปัสสาวะบ่อยและขัด ในกรณีที่ก้อนมะเร็งโตขึ้นเบียดกระเพาะปัสสาวะ
- ท้องโตขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนอ้วนขึ้น เนื่องจากเซลล์มะเร็งมีการกระจายไปในช่องท้อง จึงอาจทำให้เกิดมีน้ำในช่องท้อง
- มีประจำเดือนมาผิดปกติ
- มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น มีเสียงห้าว มีหนวด หรือขนขึ้นตามลำตัวคล้ายผู้ชายได้ (เนื่องจากผลของมะเร็งรังไข่ที่ทำให้ร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนที่ผิดปกติไป)
การตรวจหามะเร็งรังไข่
- ตรวจภายใน (Pelvic Exam) : ตรวจบริเวณช่องท้องและช่องเชิงกรานเพื่อหาก้อน มีการนำเทคโนโลยีการถ่ายภาพเข้ามาช่วยให้การตรวจละเอียดชัดเจนขึ้น
- ตรวจโดยใช้หัวตรวจชนิดเรียวยาวใส่เข้าไปในช่องคลอด (Transvaginal ultrasound) เพื่อดูมดลูก และสิ่งผิดปกติที่อยู่หลังมดลูก
- ตรวจ CA-125 : หากระดับ CA-125 สูงเกินปกติ อาจบ่งชี้ถึงการเป็นมะเร็งรังไข่ (ต้องทำการตรวจเพิ่มเติม)
- ซีทีสแกน (CT scan)
- เอกซเรย์ทางเดินอาหาร (Barium enema) ด้วยการสวนสารทึบรังสีทางทวาร
- เอกซเรย์ดูไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ (Intravenous pyelogram)
- ตัดชิ้นเนื้อ (Biosy) เพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
สาเหตุของการเกิดมะเร็งรังไข่
จริงๆ แล้ว มะเร็งรังไข่ ถือว่าเป็นโรคที่ยังหาสาเหตุของการเกิดไม่ได้ แต่จากข้อมูลของผู้ป่วยที่ผ่านมา มีสถิติของความเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ดังนี้
- ผู้ป่วย 2 ใน 3 มีอายุเฉลี่ย 55 ปี หรือมากกว่า
- กรรมพันธุ์ ผู้ที่มี แม่ พี่สาวน้องสาว ยาย ป้า หรือน้า เป็นมะเร็งรังไข่ จะมีความเสี่ยงการเป็นมะเร็งรังไข่สูงขึ้น
- ผู้ที่มีการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม (Genetic Mutations) 1 ใน 2 ยีนมะเร็งเต้านม BRCA1 และ BRCA2 มีความเสี่ยงการเกิดมะเร็งรังไข่สูงขึ้น
- ผู้ที่ป่วยเป็น มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก อย่างใดอย่างหนึ่ง มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการพัฒนาเป็นมะเร็งรังไข่ได้
- ผู้ที่มีบุตรหลายคน มีความเสี่ยงมะเร็งรังไข่มากกว่า ผู้หญิงที่มีบุตรน้อยคน และผู้ที่มีบุตรก่อนอายุ 30 ปี มีความเสี่ยงน้อยกว่าผู้ที่มีบุตรหลังอายุ 30 ปี
- ผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน (มีดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ที่ 30 หรือสูงกว่า) อาจมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่มากขึ้น
การรักษามะเร็งรังไข่
การผ่าตัด – อาจมีการผ่าตัดตั้งแต่แรกเพื่อดูระยะหรือการลุกลามของมะเร็ง ในกรณีผ่าตัดเพื่อการรักษา แพทย์จะตัดเนื้องอกออกให้มากที่สุดโดยจะพยายามให้เหลือเนื้องอกขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตร ซึ่งการผ่าตัดส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก และจะเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน สำหรับกรณีที่ผู้ป่วยยังต้องการมีบุตรอีก แพทย์จะตัดเอาเฉพาะรังไข่และท่อนำไข่ด้านที่เป็นมะเร็งออก การให้เคมีบำบัดและรังสีรักษาจะใช้เมื่อมีการกลับมาเป็นซ้ำหลังจากผ่าตัด
หลังจากรักษาต้องนัดตรวจติดตามอย่างน้อยทุก 6 เดือนสำหรับช่วง 5 ปีแรก นอกจากนี้ ถ้าตรวจพบว่ามีการลุกลามของมะเร็งออกนอกรังไข่ตั้งแต่การตรวจพบมะเร็งครั้งแรก แพทย์จะทำการผ่าตัดเอาส่วนที่เป็นมะเร็งออกให้มากที่สุด ถ้ามะเร็งกระจายไปตามผนังช่องท้องหรืออวัยวะอื่นหลังผ่าตัดผู้ป่วยต้องได้รับยาเคมีบำบัด แต่ถ้ายังไม่มีการกระจายไปส่วนดังกล่าว หลังผ่าตัดผู้ป่วยต้องตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด
รังสีรักษา – มีทั้งการฉายรังสีจากภายนอกร่างกายและการฝังแร่ในร่างกาย การพิจารณาวิธีการรักษาขึ้นกับระยะของโรคและชนิดของมะเร็ง
ยาเคมีบำบัด – สำหรับมะเร็งรังไข่จะให้ยาเคมีทางช่องที่มีอวัยวะภายในช่องท้อง (peritoneal cavity) การพิจารณาวิธีการรักษาขึ้นกับระยะและชนิดของมะเร็ง
การป้องกันการเกิดมะเร็งรังไข่
เนื่องจากมะเร็งรังไข่ยังเป็นโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ การป้องกันที่ดีก็คือ ควรตรวจเช็คสุขภาพตามระยะที่เหมาะสม ซึ่งหากพบในระยะแรก การรักษาจะสามารถรักษาให้หายขาดได้
Be the first to comment