ในยุคปัจจุบัน เราคงต้องยอมรับว่า อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของผู้คนจำนวนมาก และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกิดคำสองคำขึ้นมา เพื่ออธิบายถึงพฤติกรรมของผู้คนที่มีต่อข้อมูลข่าวสารตามโซเซี่ยลมีเดียหรือโลกออนไลน์ นั่นคือคำว่า “FOMO” และ “JOMO” วันนี้ Zcooby จะมาเล่าเรื่องนี้กันนะครับ
FOMO คืออะไร?
FOMO (อ่านออกเสียงว่า โฟโม่) เป็นคำที่ย่อมาจากคำว่า Fear of Missing Out ซึ่งแปลแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ “กลัวการตกกระแส” โดยคนกลุ่มนี้ชอบ(ถึงเข้าขั้นกระหาย)ข้อมูลข่าวสารต่างๆ กว่าใครๆ มีความอยากที่จะรับรู้ข่าวสารต่างๆ ก่อนคนอื่น รวมทั้งภาคภูมิใจหากตนรู้เรื่องเหล่านั้นก่อนใคร และจะรู้สึกเสียความมั่นใจ หากตนไม่รู้เรื่องที่กำลังได้รับการกล่าวขวัญถึง
ซึ่งพฤติกรรมนี้เราจะเห็นกับเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จนมีคำว่า “สังคมก้มหน้า” ที่หมายถึงผู้คนเอาแต่ก้มหน้าดูหน้าจออยู่ตลอดเวลา ไม่สนใจสิ่งรอบข้างที่เกิดขึ้นจริง ยิ่งมีการวิจัยออกมาแล้วว่า คนไทยใช้เวลาอยู่หน้าจอเฉลี่ย 7.2 ชั่วโมงต่อวัน ก็ยิ่งเห็นได้ว่า คนเรามีโอกาส “เสพติด” โลกออนไลน์มากขึ้นทุกที
พฤติกรรมที่เข้าข่ายว่า คุณอาจจะเป็น FOMO
- ติดการแชท,การออนไลน์อยู่แทบตลอดเวลา
- ภาคภูมิใจเมื่อตนมีเพื่อนหรือผู้ติดตามตนเป็นจำนวนมาก
- ชีวิตถูกผูกไว้อยู่กับ “ไลค์” หรือ “ถูกใจ” หรือ “รีทวีต”
- เครียดกังวลได้ง่าย เมื่อถูกตำหนิบนโซเซียลมีเดีย แม้ว่า จะไม่เคยรู้จักกับคู่กรณีก็ตาม
- รู้สึกว่าการแชทผ่านหน้าจอสนุกกว่าการคุยกับเพื่อนๆ ตัวเป็นๆ
- ติดการใช้งาน Facebook,Twitter อยู่ตลอดเวลา
- ภาคภูมิใจเวลาที่รู้เรื่องหรือประเด็นร้อนในสังคมก่อนเพื่อนหรือก่อนใครๆ
- ชอบที่จะแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจ
- วางมือถือไว้นานไม่ได้ สักพักจะต้องหยิบมาดูว่ามีอะไรอัพเดทบ้าง
- กระวนกระวายหากลืมนำมือถือติดตัวออกมาด้วย
- หงุดหงิดเมื่อแบตมือถือจะหมด ดังนั้นจึงต้องใช้แบตสำรองชาร์จมือถือแทบตลอดเวลา
- ปิดเครื่องไม่เป็น ทำยังไง?
- เวลาคุยกับเพื่อนๆ มักเริ่มต้นประโยคประมาณว่า “นี่เธอ รู้เรื่อง … รึเปล่า?”
ถ้าคุณเข้าหลายข้อ ก็ยิ่งจะบอกได้ว่า คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นคนในกลุ่ม FOMO แล้วล่ะครับ
แล้ว JOMO คืออะไร?
JOMO (อ่านว่า โจโม่) เป็นคำย่อมาจากคำว่า Joy of Missing Out แปลง่ายๆ ก็คือ มีความสุขในการปล่อยหรือตัดขาดสื่อออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย หรืออาจจะรวมถึงอาการ “เบื่อ” โลกออนไลน์ พยายามที่จะตัดขาดสื่อออนไลน์เหล่านี้ โดยอาจจะหันไปทำอย่างอื่น เช่นอยู่กับครอบครัว เน้นการปฎิบัติธรรม ชื่นชมธรรมชาติ
โดยมีคำอธิบายเกี่ยวกับเทรนด์นี้ว่า “ความยุ่งเหยิงของโซเชี่ยลมีเดีย ทำให้คนอยากหลีกหนี หันมาเน้นที่อารมณ์ จิตใจ บางครั้ง FOMO ก็เป็นความสัมพันธ์ที่จอมปลอม คนก็ล้า เหนื่อย บางครั้งคนเราทำงานหนักๆ มากๆ ก็อยากจะพักผ่อนสมอง
สังเกตได้ว่า คนที่จะก้าวเข้าสู่กลุ่ม JOMO ได้นั้น ส่วนมากจะผ่านการเป็นคนในกลุ่ม FOMO ที่เสพติดข่าวสารมากเกินจะเกิดการสำลักหรือเบื่อ และจะพยายามตัดขาดช่องทางเหล่านี้ และเริ่มมองว่าพวกกลุ่ม FOMO เป็นกลุ่มที่ยังไม่หลุดพ้น
แล้วคุณล่ะครับ คุณคิดว่าคุณเข้าข่ายไหน ระหว่างคำว่า FOMO และ JOMO อย่างไรก็ดี ทางZcooby อยากให้คุณบริโภคข่าวสารอย่างพอดีครับ
Be the first to comment